ตำรวจควบคุมตัว “บอลใต้” หรือ นายอำนาจ อินสุวรรณโณ อายุ 37 ปี มือยิงเพื่อนร่วมวงการมวย “ดา สะพานใหม่” หรือ นายอัษฎา ทัพน้อย อายุ 48 ปี เสียชีวิต พร้อมฝากขัง สน.สุทธิสารแล้ว พร้อมคัดค้านการประกันตัว หลังเข้ามอบตัววานนี้ (2 ม.ค.) เหตุเป็นคดีอุกฉกรรจ์ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พกพาอาวุธปืนไปในเมืองโดยไม่มีเหตุอันควร และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษสูงเกรงจะหลบหนี
นอกจากนี้ตำรวจยังควบคุมตัวเพื่อนอีกสองคนคือนายทรงศักดิ์ หรือหิน เหตุหมัน อายุ 39 ปี
ในข้อหาสนับสนุนผู้กระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปืนและกระสุนและพกพาไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากเป็นผู้ส่งปืนให้นายอำนาจ และ นายนพดล หรือบอล ทิพย์มณเฑียร อายุ 38 ปี ในข้อหาเดียวกัน เพิ่มเติมข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืน เนื่องจากได้ขโมยปืนของผู้ตายไปด้วย
ในเวลา 10.00 น.ของวันนี้ ตำรวจสน.บางเขนได้เข้าเบิกตัวนายอำนาจออกจากห้องคุมขัง เพื่อนำตัวขออำนาจศาลอาญาฝากขังผัดแรก 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. – 14 พ.ค. โดยเพื่อนทั้งสองของนายอำนาจก็ถูกยื่นฝากขังต่อศาลในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน โดยระหว่างเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายอำนาจขึ้นรถ ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงความกังวลต่อคดีและผู้ต้องหาตอบสั้นๆ เพียงว่า “ไม่กังวล”
ขณะที่แฟนสาวนายอำนาจ เผยว่า ทางครอบครัวมายื่นเอกสารขอประกันตัว และได้มอบหมายให้ทนายความดำเนินการแล้ว ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นตนยืนยันว่าเป็นการป้องกันตัวเนื่องจากนายอำนาจถูกขู่ฆ่ามาก่อน โดยแฟนเล่าให้ตนฟังว่าเขากำลังขึ้นรถกลับบ้านแต่พวกของนายอัษฎามาดักรออยู่หน้ารถและถือปืนหมดทุกคน นายอำนาจถอยกลับไปที่สนามมวยแต่พบนายอัษฎารออยู่และเห็นท่าไม่ดีเพราะนายอัษฎาพยายามจะชักปืนออกมา เรื่องราวจึงปรากฏตามคลิป ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องมีคนในสนามมวยเดินมาบอกกับเขาว่าให้ระวังตัว มีคนจะดักทำร้าย ซึ่งวันที่เกิดเหตุนายอำนาจไม่ได้พกอาวุธไปด้วย ส่วนปืนก็มีเพื่อนเอามาให้ไว้ป้องกันตัว นอกจากนี้ยังเสริมว่า นายอำนาจเป็นคนดี รักครอบครัว รักเพื่อน รักน้อง และเป็นที่รักของทุกคน เห็นใครเดือดร้อนก็จะเข้าช่วยเหลือทุกครั้ง
เจ้าหน้าที่สภ.ประโคนชัย ได้รับแจ้งเหตุชิงทรัพย์ พนักงานขับรถขนพัสดุเอกชน บริเวณใกล้โรงสีเจริญศิริ ต.ประโคนชัย ที่เกิดเหตุพบนายอนุสรณ์ มีโชค อายุ 30 ปี เป็นชาว ต.ประโคนชัย อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ เป็นพนักงานส่งพัสดุของบริษัทเคอรี่ สาขาอำเภอประโคนชัย อยู่ในสภาพมึนงง
โดยผู้เสียหายให้การว่าขณะที่ตนได้ขับรถมาถึงจุดเกิดเหตุ ตนได้จอดแวะข้างทางเพื่อลงมาปัสสวะ จากนั้นได้มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน ใช้ยานพาหนะเป็นรถจักรยานยนต์ไม่ทราบ ยี่ห้อ ได้ขับรถจักรยานยนต์ตามมาและใช้ท่อนไม้ตีใส่ด้านหน้าและหัว ทำให้ผู้เสียหายมึนงง จากนั้นได้ชับรถหลหนีไปพร้อมกับกระเป๋า ที่ภายในมีเงินสดจำนวนหมื่นกว่าบาท
พ.ต.อ.เศวต เศวตวิวัฒน์ ผกก.สภ.ประโคนชัย จึงได้สั่งการให้สายตรวจทุกสายและสภ.ข้างเคียง ตั้งจุดสกัดและออกตรวจไล่ล่าติดตามอย่างคนร้าย และได้ให้ชุดสืบสวนตรวจหาตามกล้องวงจรปิดบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงและพยานแวดล้อมที่เกิดเหตุ แต่ก็ยังไม่พบตัวผู้กระทำผิด โดยตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจยังคงออกตรวจสืบสวนพร้อมทั้งให้สายตรวจเพิ่มมาตรการในการป้องกันเหตุ
โผล่เพิ่มอีกเกือบหมื่นเม็ด พยาบาลซุกยาบ้าในล็อกเกอร์ ICU
หลังน.ส.ดวงกมล หรือก้อย พิสูตรเสียง อายุ 30 ปีถูกควบคุมตัวพร้อมแฟนหนุ่ม นายเอกรัฐ หรือ ตุ้ย แสงอาทิตย์อุทัย อายุ 36 ปี และพบยาเสพติดในแฟลตห้องพักพยาบาลที่ห้อง 205 ชั้น 2 รพ.ประจวบคีรีขันธ์เป็นจำนวนมาก (อ่านเพิ่มเติม https://thethaiger.com/th/thai/news-th/จับ-พยาบาลวิชาชีพ-ค้ายาบ้า-บางสะพานน้อย-ประจวบคีรีขันธ์ ) ล่าสุดตำรวจขยายผลพบยาบ้าเพิ่มบริเวณล็อกเกอร์ชั้นล่างติดผนัง ห้องพักเจ้าหน้าที่ในห้อง ICU ของโรงพยาบาลรพ.ประจวบคีรีขันธ์
โดยพบยาบ้า 4 มัด ห่อหุ้มด้วยถุงชาจีน พร้อมด้วยยาบ้าในซองชนิดปิดเปิดซ่อนอยู่ในกล่องยารวมเป็นจำนวน 9,600 เม็ด และกัญชาอัดแท่ง 2 แท่ง รวมยาเสพติดทั้งหมดที่ตรวจค้นได้จากทั้งห้องพักและห้อง ICU เป็น ยาบ้าจำนวน 37,940 เม็ด ยาไอซ์ น้ำหนัก 1,465.5 กรัม กัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน 15 แท่ง น้ำหนัก 15 กิโลกรัม รวมมูลค่ายาเสพติดประมาณ 7 ล้านบาท
ทั้งนี้ ขณะทำการตรวจค้นขยายผล ผู้ต้องหาไม่มีท่าทีกังวลใจ โดยพุดคุยทักทายกับเพื่อนร่วมงานตามปกติ ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่บางรายเข้าไปสวมกอดให้กำลังใจในการสู้คดีด้วย และจากประวัติพบว่า น.ส.ดวงกมล กับแฟนหนุ่มติดต่อเชื่อมโยงกับเอเย่นต์ยาเสพติดรายใหญ่มานานแล้ว และจะใช้ล็อกเกอร์ห้องไอซียูเป็นสถานที่พักยา เพราะค่อนข้างจะปลอดภัยและไม่มีหน่วยงานใดกล้าเข้ามาตรวจสอบ
ขณะที่ นายภิรมย์ นิทยา รอง ผวจ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ตอนนี้ทราบว่า ผู้บริหาร รพ.ประจวบคีรีขันธ์ มีคำสั่งให้ น.ส.ดวงกมล ออกจากราชการ หากได้รับการประกันตัวก็ไม่สามารถกลับมาทำงานได้แล้ว จนกว่าคดีจะเสร็จสิ้น และแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงเรื่องนี้ พร้อมระบุว่าเมื่อหลายปีก่อนเจ้าตัวก็โดนตำรวจเชิญตัวไปสอบแล้ว แต่ครั้งนั้นไม่มีหลักฐาน และยอมรับว่าคดีนี้กระทบกับภาพลักษณ์ของหน่วยงานรัฐพอสมควร ทำให้ผู้บริหารค่อนข้างเครียด เนื่องจาก รพ.เป็นสถานที่รักษาผู้ป่วย จึงขอทำความเข้าใจว่าปัญหานี้เกิดจากพฤติกรรมของส่วนบุคคล
ส่วนการดูแลครอบครัวและการประกอบอาชีพของจำเลยอื่นก็เป็นเหตุความขัดข้องทั่วไปของบุคคลซึ่งต้องคดียังไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรมว่าจำเลยทั้งหมดได้รับความเสียหายเป็นพิเศษจนถึงขนาดที่จะมีผลเพราะให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ศาลสั่งไว้โดยชอบแล้ว ยกคำร้อง
แนะนำ : เคล็ดลับต่างๆ | เว็บรวมวิธีต่างๆ How to | จัดอันดับซีรีย์ | รีวิวครีม